Abstract:
การศึกษาศักยภาพการรองรับมลพิษของแม่น้ำและชายฝั่งทะเล: กรณีศึกษาผลกระทบของน้ำทิ้งจากกิจกรรมการใช้ประโยชน์ต่อระบบนิเวศทางน้ำแม่น้ำจันทบุรี และปากน้ำแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี มีเป้าหมายเพื่อศึกษาผลกระทบที่มาจาก
น้ำทิ้งของกิจกรรมการใช้ประโยชน์ต่อคุณภาพน้ำในภาพและระบบนิเวศของแม่น้ำจันทบุรีและปากน้ำแหลมสิงห์ โดยทำการศึกษา 3 ช่วงเวลาเพื่อเป็นตัวแทนของฤดูกาลได้แก่ ฤดูแล้ง (เดือนมกราคม) ต้นฤดูฝน (เดือนเมษายน) และฤดูฝน (เดือนกรกฎาคม) ทั้งนี้แบ่งพื้นที่การศึกษาออกเป็น 17 สถานี ครอบคลุมพื้นที่แม่น้ำจันทบุรี 6 สถานี และปากน้ำแหลมสิงห์ 11 สถานี นอกจากนี้ยังทำการศึกษาแหล่งน้ำทิ้งจากกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 6 ประเภท โดยปัจจัยที่ทำการศึกษาประกอบไปด้วยคุณภาพน้ำทั่วไป ปริมาณอนินทรีย์ละลายน้ำ คลอโรฟิลล์
เอ แพลงก์ตอนพืช และคุณภาพของดินตะกอน ผลการศึกษาพบว่า ในแม่น้ำจันทบุรีและปากน้ำแหลมสิงห์มีความแตกต่างด้านความเค็มของน้ำอย่างชัดเจน ปริมาณออกซิเจนละลายน้ำบริเวณพื้นที่ตอนบนของแม่น้ำจะมีค่าค่อนข้างสูงตลอดเวลาที่ทำการศึกษา (6.627.79 มิลลิกรัมต่อลิตร) ส่วนพื้นที่ปากแม่น้ำจะมีค่าต่ำกว่าเล็กน้อยแต่ยังคงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำ (4 มิลลิกรัมต่อลิตร) สถานีบริเวณลำคลองรอบเมืองจันทบุรี มีปริมาณของสารอาหารอนินทรีย์ละลายน้ำสูงที่สุดโดยเฉพาะแอมโมเนีย และไนเตรท โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรมที่มีอยู่หนาแน่นบริเวณด้านบนส่งผลให้มีการสะสมของไนโตรเจนในพื้นที่ค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามปริมาณสารอนินทรีย์ดังกล่าวยังไม่สามารถส่งผลต่อสถานภาพของแม่น้ำได้ เนื่องจากเมื่อพิจารณาจากคลอโรฟิลล์ เอ พบว่าแม่น้ำจันทบุรีและปากน้ำแหลมสิงห์ยังคงอยู่ในสภาวะ
ความสมบูรณ์ในระดับปานกลาง (Mesotrophic) โดยคลอโรฟิลล์ เอ มีค่าต่ำกว่า 10 ไมโครกรัมต่อลิตร ทั้งนี้เมื่อพิจารณาศักยภาพในการรองรับมลพิษในภาพรวมโดยใช้เกณฑ์ของ Redfield ratio ในการพิจารณาพบว่า ในช่วงฤดูแล้งและต้นฤดูฝน แม่น้ำจันบุรีและปากน้ำแหลมสิงห์จะมีไนโตรเจนเป็นปัจจัยจำกัด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไนโตรเจนที่เข้ามาระบบแม่น้ำช่วงเวลาดังกล่าวมีค่อนข้างน้อย ต่างจากในช่วงฤดูฝนซึ่งจะมีฟอสฟอรัสเป็นปัจจัยจำกัด นอกจากนี้ยังพบว่า ปริมาณของซิลิเกตในแม่น้ำและปากแม่น้ำมีค่าค่อนข้างสูงตลอดทั้งปี ซึ่งสอดคล้องกับ
การที่พบแพลงก์ตอนพืชในกลุ่มของไดอะตอมเป็นชนิดเด่นในทุกช่วงเวลาที่ทำการศึกษา
ดังนั้นภาพรวมของการศึกษาในครั้งนี้สามารถบ่งชี้ได้ว่าแม่น้ำจันทบุรีและปากน้ำแหลมสิงห์ยังคงสามารถรองรับมลพิษด้านสารอนินทรีย์ละลายน้ำได้อย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์จากปัจจุบัน โดยเฉพาะสารอนินทรีย์ในกลุ่มของฟอสฟอรัส อย่างไรก็ตามควรพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลรวมถึงปริมาณน้ำฝนซึ่งมีความผันแปรในรอบปีค่อนมากเพราะอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของสารอาหารนำไปสู่ความเสื่อมโทรมของแหล่งน้ำได้