DSpace Repository

เทคโนโลยีการผลิตอาหารสำเร็จรูปกุ้งตัวตลก (Hymenocera picta)

Show simple item record

dc.contributor.author จารุนันท์ ประทุมยศ
dc.contributor.author ณิษา สิรนนท์ธนา
dc.contributor.author อมรรัตน์ กนกรุ่ง
dc.contributor.author วิรชา เจริญดี
dc.contributor.other มหาวิทยาลัยบูรพา. สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล
dc.date.accessioned 2019-05-16T06:46:37Z
dc.date.available 2019-05-16T06:46:37Z
dc.date.issued 2560
dc.identifier.uri http://dspace.lib.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/3561
dc.description.abstract แผนงานวิจัยเทคโนโลยีการผลิตอาหารสําเร็จรูปกุ้งตัวตลก (Hymenocera picta) มีวัตถุประสงค์ หลักเพื่อผลิตอาหารสําเร็จรูปสําหรับเลี้ยงกุ้งตัวตลกเพื่อทดแทนการเลี้ยงด้วยดาวทะเลมีชีวิต มีระยะเวลา การวิจัย 3 ปี (2559-2561) แผนงานวิจัยประกอบไปด้วย 1 แผนงานวิจัยและโครงการวิจัย 3 โครงการ โครงการวิจัยที่ 1คุณค่าอาหารในสัตว์ทะเลกลุ่มเอคไคโนเดิร์ม: แหล่งวัตถุดิบ อาหารสําหรับกุ้งตัวตลก (Hymenocera picta) โครงการวิจัยที่ 2 รูปแบบ การสะสมสารสีของสัตว์ทะเลกลุ่มเอคไคโนเดิร์ม และโครงการวิจัยที่ 3 การเลี้ยงกุ้งตัวตลก (Hymenocera picta) ด้วยอาหารสําเร็จรูปที่ผลิตขึ้นทดแทนการ เลี้ยงด้วยดาวแดงมีชีวิต (Licnkia multifora) แผนงานวิจัยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (ปีแรกของการ วิจัย) ประกอบด้วย 1 แผนงานวิจัยและโครงการวิจัย 2 โครงการ ผลการดําเนินงานในปีที่ 1 พบว่าแผนงาน วิจัยเทคโนโลยีการผลิต อาหารสําเร็จรูปกุ้งตัวตลกประสพผลสําเร็จตามเป้าหมายคือ 1) ได้องค์ความรู้ พื้นฐานงานวิจัยด้านสารอาหารในอาหารธรรมชาติของกุ้งตัวตลกและ 2) ได้ข้อมูลสารสีในอาหารธรรมชาติ ของกุ้งตัวตลก ซึ่งองค์ความรู้เหล่านี้เป็นผลสําเร็จเบื้องต้น (P) ในการนํามาใช้ในการประกอบการคัดเลือก ชนิดวัตถุดิบในการผลิตอาหารสําเร็จรูปกุ้งตัวตลกซึ่งเป็นงานวิจัยโครงการที่ 3 ที่จะดําเนินการต่อไปในปีที่ 2-3 รายละเอียดการดําเนินงานของแต่ละโครงการมีดังนี้ โครงการวิจัยที่ 1 ศึกษาคุณค่าอาหารในดาวทะเล จํานวน 10 ชนิดและปลิงทะเลจํานวน 4 ชนิด พบปริมาณเถ้า ไขมัน โปรตีน ในตัวอย่างดาวทะเลและปลิงทะเล มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) โดยเถ้าพบปริมาณสูงสุดในตัวอย่างดาวทะเลปุ่มใหญ่ Protoreaster nodosus (AS2) ปริมาณเฉลี่ย 52.46% ไขมันพบสูงสุดในตัวอย่างดาวทราย Astropecten polyacanthus (GS2) ปริมาณ เฉลี่ย 1.95% และพบโปรตีนสูงสุดในดาวทะเลสีน้ําเงิน Linckia laevigata (AS4) ปริมาณเฉลี่ย 20.77% ส่วนในปลิงทะเลพบปริมาณเถ้าและไขมันสูงสุดในปลิงทะเลหนวดกิ่งไม้สีเขียว Colochirus quadrangularis (GSC4) ปริมาณเฉลี่ย (12.30%) และปริมาณเฉลี่ย 9.63% ตามลําดับ และพบโปรตีน สูงสุดในปลิงทะเลสีดํา Holothuria (Mertensiothuria) leucospilota (GSC2) ปริมาณเฉลี่ย 42.94% ชนิดดาวทะเลที่มีโปรตีนสูงกว่าดาวแดง Linckia multiflora (AS1) คือดาวทะเลสีน้ำเงิน Linckia laevigata (AS4) ดาวทราย A. polyacanthus (GS2) ดาวทะเลสีทอง Linckia guildingi (AS5) และดาว หมอนปักเข็มหมุด Culcita schmideliana (AS7) ปลิงทะเลที่มีโปรตีนสูงกว่าในดาวแดงคือปลิงหินหนาม Stichopus horrens (GSC1) ปลิงทะเลดํา H. leucospilota (GSC2) และปลิงทะเลหนวดกิ่งไม้สีเขียว C. quadrangularis (GSC4) นอกจากนี้ ดาวทะเลที่มีไขมันสูงกว่าดาวแดงได้แก่ดาวทราย A. polyacanthus (GS2) (ประมาณ 2%) ส่วนดาวทะเลสีส้ม Anthenea pentagonula (GS1) และดาวหมอนปักเข็มหมุด C. schmideliana (AS7) มีไขมันใกล้เคียงกับดาวแดง L. multiflora (AS1) (ประมาณ 1%) ในดาวทะเลพบปริมาณกรดไขมันอิ่มตัว (SFAs), กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFAs) กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFAs) และกรดไขมันจําเป็น C18:2n6, C18:3n6, C20:4n6 และ C20:5n3 มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) โดยกรดไขมันชนิด SFAs พบสูงสุดในดาวทะเลสีทอง Linckia guildingi (AS5) ประมาณ 57.51%ของกรดไขมันทั้งหมดต่อน้ำหนักแห้ง (TFA dry wt.) กรด ไขมันMUFAs พบสูงสุดในดาวทะเลสีทอง L. guildingi (AS5) เช่นกันประมาณ 10.85%TFA dry wt. กรด ไขมัน PUFAs พบสูงสุดในดาวทะเลปุ่มใหญ่ Protoreaster nodosus (AS2) ประมาณ 19.68%TFA กรดไขมันจําเป็นที่ ARA (C20:4n6) พบในดาวแสงอาทิตย์ Luidia maculata (GS3) ปริมาณสูงสุด 14.51%TFA; 423.82 mg/ g dry wt. กรดไขมันจําเป็น EPA พบในดาวทราย Astropecten polyacanthus (GS2) ปริมาณสูงสุด 9.48%TFA; 422.87mg/ g dry wt. เฉพาะดาวแสงอาทิตย์ L. maculata (GS3) และดาวทราย A. polyacanthus (GS2) ที่มีกรดไขมันจําเป็น DHA เป็นองค์ประกอบ ในปริมาณ 1-2 % TFA. ในปลิงทะเลพบปริมาณกรดไขมันชนิดอิ่มตัว (SFAs) กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFAs) กรด ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFAs) และกรดไขมันจําเป็น C20:4n6 และ C20:5n3 มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) โดยพบกรดไขมัน SFAs สูงสุดในปลิงทะเลหนวดกิ่งไม้สีเขียว Colochirus quadrangularis (GSC4) ในปริมาณ 26.95%TFA dry wt., พบ MUFAs สูงสุดในปลิงทะเลหนวดกิ่งไม้สี ชมพูเหลือง Cercodemas anceps (GSC3) ในปริมาณ 22.25%TFA dry wt. และพบ PUFAs สูงสุดในปลิงทะเลสีดํา Holothuria (Mertensiothuria) leucospilota (GSC2) ในปริมาณ 24.27%TFA โดยพบ C20:4n6 สูงสุดในปลิงหินหนาม Stichopus horrens (GSC1) ในปริมาณ 20.11%; 179.45 mg/ g dry wt. และพบ C20:5n3 สูงสุดในปลิงทะเลหนวดกิ่งไม้สีเขียว Colochirus quadrangularis GSC4 ใน ปริมาณ 8.85%; 306.72 mg/ g dry wt. ปลิงทะเลมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวจําเป็น DHA 29-62 mg/g dry wt. ในดาวทะเลพบว่ามีกรดอมิโนเป็นองค์ประกอบปริมาณต่างกัน ดาวทะเลสีน้ําเงิน Linckia laevigata (AS4) มีปริมาณกรดอะมิโนชนิดต่าง ๆ ในสูงกว่าดาวทะเลชนิดอื่น โครงการวิจัยที่ 2 ศึกษาสารสีแคโรทีนอยด์ (astaxanthin, beta-carotene, cantaxanthin, echineneone, zeaxanthin & lutein) และสารสีแอนโทไซยานินรวมในดาวทะเลจํานวน 9 ชนิดและ ปลิงทะเลจํานวน 3 ชนิด พบว่าสารสีในกลุ่มสารสีแคโรทีนอยด์ที่เป็นองค์ประกอบหลัก ของดาวทะเลและปลิงทะเลที่ศึกษาคือ astaxanthin and zeaxanthin & lutein ดาวแดง L. multiflora (AS1) มีสารสี astaxanthin ปริมาณ 1156.70 μg/g ของน้ำหนักเปียก ดาวทะเลที่พบสารสี astaxanthin มากกว่าที่พบในดาวแดง L. multiflora (AS1) คือดาวทะเลสีน้ําเงิน Linckia laevigata (AS4) และดาวทะเล Protoreaster nodosus (AS2) มีปริมาณเท่ากับ 27882 μg/g และ 1801.57 μg/g ของน้ำหนักเปียก ตามลําดับ สารสีชนิด zeaxanthin & lutein พบมากสุดในดาวแดง L. multiflora (AS1) ประมาณ 41.74 μg/g ของน้ําหนักเปียก สารสีแอนโทไซยานินรวมพบมากสุดในดาวทะเลหมอนปัก เข็มหมุด Culcita schmideliana (AS7) ประมาณ 4.49 μg/g ของน้ำหนักเปียกแต่ไม่พบสารสีกลุ่มนี้ใน ดาวแดง L. ในแผนงานวิจัยนี้ได้ศึกษาปริมาณความเข้มข้นและชนิดกรดอมิโนที่มีผลในการกระตุ้นให้สัตว์น้ำตอบสนองต่อสารเคมีในอาหาร พบว่ากรดอมิโนในดาวทะเลแตกต่างจากกรดอมิโนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ใช้ ในอาหารกุ้งทั่วไป ในดาวทะเลมีกรดอมิโน glycine ปริมาณมากสุด รองลงมาได้แก่ glutamic proline alanine aspartic arginine ในขณะที่ในเนื้อปลาสด อวัยวะภายในของปลาคุณภาพดีและสาหร่ายซากัสซั่ม มีกรดอมิโน glutamic และ aspartic เป็นองค์ประกอบหลักแต่มีกรดอมิโน glycine น้อย ความแตกต่าง ของกรดอมิโนในตัวอย่างเหล่านี้จะนําไปศึกษาในโครงการวิจัยที่ 3 ต่อไป th
dc.description.sponsorship โครงการวิจัยประเภทงบประมาณเงินรายได้จากเงินอุดหนุนรัฐบาล (งบประมาณแผ่นดิน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 มหาวิทยาลัยบูรพา th_TH
dc.language.iso th th_TH
dc.publisher สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา th_TH
dc.subject กุ้งตัวตลก -- อาหาร th_TH
dc.subject กุ้งตัวตลก -- การเจริญเติบโต th_TH
dc.subject อาหารสำเร็จรูป th_TH
dc.subject เทคโนโลยีการผลิตอาหาร th_TH
dc.subject สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา th_TH
dc.title เทคโนโลยีการผลิตอาหารสำเร็จรูปกุ้งตัวตลก (Hymenocera picta) th_TH
dc.title.alternative Artificial feed production technology for harlequin shrimp (Hymenocera picta) th_TH
dc.type Research th_TH
dc.author.email jarunan@buu.ac.th
dc.author.email piyawan@buu.ac.th
dc.author.email amonrat_@buu.ac.th
dc.author.email wiracha@buu.ac.th
dc.year 2560 th_TH
dc.description.abstractalternative The general objective of the artificial feed production technology for harlequin shrimp (Hymenocera picta) research programme was to formulate artificial feed to substitute the use of live seastars as the diet used in harlequin shrimp cultivation. This research programme was conducted over a 3-year period – a programme that consists of one research plan and three projects. The title of the individual projects within this are: 1) the nutrition in marine echinoderms: feed ingredient sources for harlequin shrimp (H. picta); 2) pigment accumulation profiles in echinoderms; and, 3) the culture of harlequin shrimp (H. picta) on artificial feed to substitute the use of live comet seastars (Linckia multifora). According to the original research programme, the first two projects were conducted during the first plan while the last project will be conducted over the following two years. The research programme has achieved its primary objectives (P) which were: 1) to provide basic knowledge on the nutritional content of the natural prey items consumed by harlequin shrimp (H. picta); and, 2) to provide information on the pigment profile of those natural food items. Key data obtained from these two projects were then selected for further study. Information stemming from each project are as follows: From Project 1, the nutrient composition of ten species of sea star and four species of sea cucumber were investigated. The study found significant differences (p<0.05) in the protein, lipid and ash content between the species examined. Of the sea stars examined, the highest content of ash was in the Protoreaster nodosus (AS2) (52.46%), highest lipid (1.95%) in the Astropecten polyacanthus (GS2) and the greatest protein (20.77%) content was found within Linckia laevigata (AS4).Among the sea cucumber species analysed, Colochirus quadrangularis (GSC4) had the highest ash (12.30%) and lipid (9.63%) content, while Holothuria [Mertensiothuria] leucospilota (GSC2) had the highest amount of protein (42.94%). Among the seastar species, the blue seastar Linckia laevigata (AS4), the sand star A. polyacanthus (GS2), the yellow seastar Linckia guildingi (AS5) and, the pin cushion seastar Culcita schmideliana (AS7) all had higher protein contents than that of L. multiflora (AS1). Of the sea cucumber species, Stichopus horrens (GSC1), H. leucospilota (GSC2) and Colochirus quadrangularis (GSC4) contained protein in a greater amount than that determined in L. multiflora (AS1). In addition, the sand seastar A. polyacanthus (GS2) had lipid levels (i.e. 2%) higher than that of L. multifora (AS1) whilst Anthenea pentagonula (GS1) and C. schmideliana (GSC4) had similar amounts of lipid to that found in L. multiflora (i.e. 1%). There were also significant differences (p<0.05) in the fatty acid (FA) profiles of the ten 10 seastar species, notably in their total saturated FA (SFA), total monosaturated FA (MUFA) and total polyunsaturated FA (PUFA) contents, and also in their concentrations of the essential FAs linoleic acid (C18:2n6, LA), linolenic acid (C18:3n6, LNA), arachicdonic acid (C20:4n6, ARA) and eicosapentaenoic acid (C20:5n3, EPA). Linckia guildingi (AS5) contained high quantities of SFAs (57.51%) and MUFAs (10.85%), while Protoreaster nodosus (AS2) contained the highest percentage of PUFAs (19.68%). The sea star Luidia maculata (GS3) contained high amounts of ARA (14.51%; 423.82 mg/ g dry wt), while A. polyacanthus (GS2) contained high levels of EPA (9.48%, 422.87 mg/g dry wt). Of the seastars examined, only L. maculata (GS3) and A. polyacanthus (GS2) contained minor amounts of DHA (1-2 % TFA). Among the sea cucumber species that were analysed, C. quadrangularis contained the highest level of SFAs at approximately 26.95%. Cercodemas anceps had the highest content of MUFAs (ca. 22.25%) and Holothuria [Mertensiothuria] leucospilota had the highest content of PUFAs at 24.27%, Stichopus horrens had high levels of ARA (20.11%; 179.45 mg/g dry wt.) while specimens of C. quadrangularis contained high levels of EPA (ca. 8.85%; 306.72 mg/g dry). All the sea cucumber species analysed contained DHA at approximately 29-62 mg/g dry wt. Regarding the amino acid content of the seastar species under investigation within this study, the highest concentration of amino acids was found within Linckia laevigata. From Project 2, the objective of the study was to examine the carotenoids (astaxanthin, beta-carotene, cantaxanthin, echineneone, zeaxanthin and lutein) and anthocyanin compositions in a range of seastar and sea cucumber species. Astaxanthin, zeaxanthin and lutein were the major components found in both seastars and in sea cucumbers. Linckia laevigata (AS4) and Protoreaster nodosus (AS2) contained astaxanthin in the amounts of 27,882 μg/g (wet wt.) and 1,801.57 μg/g (wet wt.) respectively which was higher than that in the L. multiflora (AS1) (i.e. 1,156.70 μg/g wet wt.). Zeaxanthin and lutein were found in the highest amount in L. multiflora (AS1) (approximately 41.74 μg/g wet wt.). Anthocyanin was found in Culcita schmideliana (AS7) in concentrations of about 4.49 μg/g (wet wt.), but this pigment was not found in L. multiflora (AS1). As some amino acids have been found and used as feed attractants to various aquatic animals, this research programme also investigated the amino acids profiles of natural feeds (seastars) of harlequin shrimp and other main feed ingredients (flesh fish, fish intestine algae etc.) used to formulate commercial shrimps diets. It was found that glycine is the greatest component of all seastars followed by glutamic, proline, alanine, aspartic and arginine while glutamic and aspartic acid are core components in seaweed, Sargassum sp., and in good quality flesh and intestines of fish but glycine was detected only in minor amounts. The differences of amino acids present in these samples will be used for a further study on chemical cues presents to harlequin shrimp in Project en


Files in this item

This item appears in the following Collection(s)

Show simple item record

Search DSpace


Advanced Search

Browse

My Account