Faculty of Abhaibhubejr Thai Traditional Medicine
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4800
คณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร
2024-03-29T06:05:40Z
-
การศึกษารูปแบบกฎความสัมพันธ์ด้วยวิธีการทำเหมืองข้อมูลเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยโรคทางการแพทย์แผนไทย
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4473
การศึกษารูปแบบกฎความสัมพันธ์ด้วยวิธีการทำเหมืองข้อมูลเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยโรคทางการแพทย์แผนไทย
ชลิยา ใจเย็น อะอิดะ; สิริกุล กวมทรัพย์; ชลาลัย โชคดีศรีจันทร์; สุนิสา ริมเจริญ
ตามทฤษฏีการแพทย์แผนไทยที่ว่าร่างกายมนุษย์ ประกอบขึ้นจาก 4 ธาตุ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ เมื่อใดที่ธาตุใดธาตุหนึ่งเกิดความผิดปกติหรือเสียสมดุล จะทำให้เกิดโรคหรือความเจ็บป่วยขึ้น ร่างกายสามารถเปลี่ยนแปลงได้จากปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อม ที่เรียกว่า สมุฏฐานการเกิดโรค ได้แก่ อายุ ฤดูกาล กาลเวลา ถิ่นที่อยู่ และมูลเหตุการเกิดโรคที่เกิดจากพฤติกรรม ตามแนวทางเวชปฏิบัติทางการแพทย์แผนไทย ซึ่งใช้ในการตรวจวินิจฉัยอาการของผู้ป่วย แพทย์จำเป็นต้องทราบถึงสาเหตุ และข้อมูลของผู้ป่วยอย่างเพียงพอที่จะวินิจฉัยโรคได้ การศึกษาครั้งนี้ การวิเคราะห์ค่าความถี่เบื้องต้น ผู้วิจัยได้นำข้อมูลที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างจากเวชระเบียนแบบไม่ระบุชนิดอาการ ซึ่งมีการวินิจัยโรคตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยของคลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์ วิทยาลัยการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี จำนวน 421 ราย มาทำการวิเคราะห์หากฎความสัมพันธ์ (Association Rules) ผลการศึกษาพบ 11 กฏความสัมพันธ์ที่ข้อมูลมีความสัมพันธ์กัน 100 % โดยมีค่าความเชื่อมั่น (Confidence) เท่ากับ 1 โดยสรุป คือ ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยอาการผิดปกติของของ กล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ในเดือนตุลาคม แต่ถ้าอาการผิดปกตินั้นเกิดรวมกับโลหิตตัง (น้ำเลือด) ที่ผิดปกติด้วย จะมีอาการในช่วงเดือนสิงหาคม และอาการสำคัญที่พบมากที่สุดในการศึกษาครั้งนี้จากกฏความสัมพันธ์ จะพบว่า อาการปวดกล้ามเนื้อ คอ/บ่า/ไหล่ มีความสัมพันธ์จากความผิดปกติของโลหิตตัง (น้ำเลือด) มังสัง (กล้ามเนื้อ) และนหารู (เส้นเอ็น) สันตัปปัคคี (ไฟทำให้ร่างกายอบอุ่น เป็นปกติ) และอังคมังคานุสารีวาตา (ลมพัดทั่วร่างกาย) ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในเพศหญิง ผู้ป่วยส่วนมากที่พบอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งผลที่ได้สอดคล้องกับผลที่หาได้จากหาความถี่
ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากงบประมาณกองทุนวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยบูรพา ประจำปี พ.ศ. 2563 สัญญาเลขที่ 001/2563
2564-01-01T00:00:00Z
-
การสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรต่อการปฏิบัติการ ด้านการเงินในส่วนงานด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยบูรพา
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4426
การสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรต่อการปฏิบัติการ ด้านการเงินในส่วนงานด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยบูรพา
วิภาดา เชื้อหมอ
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นของบุคลากรที่มีต่อการปฏิบัติการด้านการเงินในส่วนงานด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยบูรพา และเปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคลากรสายคณาจารย์และสายสนับสนุนวิชาการ ที่มีต่อการปฏิบัติการด้านการเงินในส่วนงานด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยบูรพา เป็นการวิจัยสารวจข้อมูลเชิงปริมาณและ เชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นบุคลากรในส่วนงานด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ จำนวน 226 คน ได้แก่ คณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร คณะพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา และคณะสาธารณสุขศาสตร์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้รับบริการ เป็นแบบสอบถามแบบมาตรส่วนประมาณค่า 4 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม คือ .89 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติ ในการวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เนื้อหาและสรุปผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์
ผลการวิจัยพบว่า ความคิดเห็นของบุคลากรที่มีต่อการปฏิบัติการด้านการเงิน ในส่วนงาน ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยบูรพา โดยรวมบุคลากรมีความคิดเห็นต่อการปฏิบัติการด้านการเงินอยู่ในระดับค่อนข้างมากทั้ง 5 ด้าน คือ ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการเงิน ด้านระยะเวลา ด้านเอกสารการเบิกจ่าย ด้านข้อมูลทางการเงิน และด้านขั้นตอนการดาเนินงานอยู่ในลำดับสุดท้าย และเมื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคลากรสายคณาจารย์ และสายสนับสนุนวิชาการ ที่มีต่อการปฏิบัติงานด้านการเงิน ในส่วนงานด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยบูรพา พบว่าบุคลากรสายคณาจารย์และสายสนับสนุนวิชาการมีความคิดเห็นต่อการปฏิบัติงานด้านการเงิน ไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านแล้ว พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำนวน 1 ด้าน คือด้านเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการเงิน โดยบุคลากรประเภทคณาจารย์มีความคิดเห็นด้านเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินมากกว่าบุคลากรประเภทสนับสนุนวิชาการ ในเรื่องของเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก ให้คาชี้แจงข้อมูลการจ่ายเงินหรือเงินยืม และเจ้าหน้าที่พูดจาด้วยน้าเสียงที่ไพเราะ เอาใจใส่ ข้อเสนอแนะจากงานวิจัยนี้คือ การจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานและเอกสารแนะนำวิธีการปฏิบัติงาน การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสื่อสาร การให้ข้อมูล และพัฒนาระบบบริการการเงินต่อไป
โครงการวิจัยประเภทงบประมาณเงินรายได้จากกองทุนวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยบูรพา ประจำปี พ.ศ.2562
2563-01-01T00:00:00Z
-
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิต คณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร มหาวิทยาลัยบูรพา
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4356
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิต คณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร มหาวิทยาลัยบูรพา
จุฬาลักษณ์ เทียนรุ่งรัศมี; รัตนา ศรีสวัสดิ์
การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยด้านพฤติกรรมของผู้เรียน เจตคติต่อสาขาวิชา คุณภาพการจัดการเรียนการสอน และปัจจัยสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิต กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นิสิตคณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร มหาวิทยาลัยบูรพา ชั้นปีที่ 2 และ 3 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 152 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่า F (F-test) วิเคราะห์
ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) ใช้การทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ด้วยวิธีของ
แอล เอส ดี (LSD) โดยทดสอบความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นำเสนอในรูปแบบของตารางประกอบคำบรรยาย
ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยด้านเจตคติต่อสาขาวิชา มีค่าเฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 4.25 รองลงมา
ได้แก่ ปัจจัยสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ย 4.24 ลำดับต่อมา คือ ปัจจัยด้านคุณภาพ
การจัดการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ย 4.03 และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ พฤติกรรมของนิสิต
มีค่าเฉลี่ย 3.74 ตามลำดับ
ผลการเปรียบเทียบปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตรายด้าน พบว่า
ปัจจัยด้านที่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ ด้านพฤติกรรมของนิสิต และปัจจัยด้าน
สนับสนุนการจัดการเรียน ส่วนปัจจัยด้านที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตไม่แตกต่างกัน
คือ ด้านเจตคติต่อสาขาวิชาและด้านคุณภาพการจัดการเรียนการสอน และเมื่อทำการเปรียบเทียบ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตที่มีผลการเรียนไม่มีเกรด F นิสิตที่มีเกรด F 1-2
วิชา และนิสิตที่มีเกรด F มากกว่า 2 วิชาขึ้นไป พบว่า ปัจจัยด้านเจตคติต่อสาขาวิชา และด้านปัจจัย
สนับสนุนการจัดการเรียนการสอนมีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตทุกกลุ่ม
ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากงบประมาณกองทุนวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยบูรพา ประจำปี พ.ศ. 2562
2563-01-01T00:00:00Z
-
เหตุผลและความพึงพอใจในการรักษากระดูกแบบพื้นบ้าน ในตำบลท่ากุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดตราด
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4138
เหตุผลและความพึงพอใจในการรักษากระดูกแบบพื้นบ้าน ในตำบลท่ากุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดตราด
พลอยชนก ปทุมานนท์; รัชนี เจริญนรากร
บทนำ เหตุผลในการรักษาโรคหรือความผิดปกติของกระดูกแบบพื้นบ้านอาจมีหลายประการ การรักษาโรคกระดูกมีทั้งตามแผนปัจจุบันและการแพทย์พื้นบ้าน บางส่วนนิยมการแพทย์พื้นบ้านจึงนำมาสู่การศึกษาการรักษาแบบพื้นบ้าน วัตถุประสงค์ ศึกษาเหตุผลในการรักษากระดูกแบบพื้นบ้าน และประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการรักษากระดูกแบบพื้นบ้าน วิธีการศึกษา เก็บข้อมูลจากผู้ที่มารักษากระดูกแบบพื้นบ้านในตำบลท่ากุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดตราด ระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน พ.ศ.2562 ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน เหตุผลและความพึงพอใจในการรักษา ด้วยการใช้แบบสอบถาม ผลการศึกษา ผู้ที่เข้าร่วม 60 ราย ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 68.33 จากการศึกษาพบว่า เหตุผลในการรักษาโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.21) (ค่าประเมิน 1-5) เหตุผลลำดับแรก ๆ คือ ชื่อเสียงของหมอความมั่นใจในผลการรักษา และหมออัธยาศัยดี เป็นกันเอง ส่วนความพึงพอใจในการรักษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 4.58) ความพึงพอใจลำดับแรก ๆ คือ การเอาใจใส่และเข้าถึงจิตใจผู้ป่วย คำแนะนำในการปฏิบัติตนระหว่างรักษา และผลการรักษา สรุปผลการศึกษา งานวิจัยนี้พบว่าเหตุผลและความพึงพอใจในการรักษากระดูกแบบพื้นบ้านในตำบลท่ากุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดตราด อันดับแรก คือ หมออัธยาศัยดี เป็นกันเอง และความปลอดภัยของการรักษา
2563-01-01T00:00:00Z