บทความวิชาการ (Journal Articles)
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4761
2024-03-28T09:51:01Z
2024-03-28T09:51:01Z
การทดสอบคุณสมบัติการวัดทางจิตวิทยาของแบบสอบถามการยึดติดทางความคิด (ฉบับภาษาไทย)
ดวงใจ วัฒนสินธุ์
จิณห์จุฑา ชัยเสนา ดาลลาส
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4539
2022-10-16T04:36:47Z
2564-01-01T00:00:00Z
การทดสอบคุณสมบัติการวัดทางจิตวิทยาของแบบสอบถามการยึดติดทางความคิด (ฉบับภาษาไทย)
ดวงใจ วัฒนสินธุ์; จิณห์จุฑา ชัยเสนา ดาลลาส
การวิจัยแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบคุณสมบัติการวัดทางจิตวิทยาของแบบสอบถาม การยึดติดทางความคิด ฉบับภาษาไทย กลุ่มตัวอย่างเป็นเยาวชนที่กำลังเข้ารับการบำบัดสารเสพติดในโรงเรียนวิวัฒน์พลเมือง เขตพื้นที่ภาคตะวันออก จำนวน 350 คน ที่ได้รับการสุ่มด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบสอบถามการยึดติดทางความคิดฉบับแปลเป็นภาษาไทยด้วยเทคนิคการแปลย้อนกลับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค การ วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการวิจัยพบว่า แบบสอบถามการยึดติดทางความคิดฉบับภาษาไทยมีความเที่ยงและความตรงเชิงโครงสร้างอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .84 ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจพบว่า แบบสอบถามมีเพียงองค์ประกอบเดียว ส่วนการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันพบว่า โมเดลปรับปรุงมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (X2 = 11.66, p = .308, df = 10, X2/df = 1.16, GFI = .99, AGFI = .97, CFI = 1.00, SRMR = .019 และ RMSEA = .022) โดยมีค่าน้ำหนักของข้อคำถามรายข้อระหว่าง .38 - .78 ผลการศึกษามีข้อเสนอแนะว่า บุคลากรทางด้านสาธารณสุขสามารถนำแบบสอบถามฉบับนี้ ไปใช้ในการประเมินการยึดติดทางความคิดของเยาวชนที่ใช้สารเสพติดเพื่อวางแผนการบำบัดหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาปรับปรุงข้อคำถามของ แบบสอบถามให้มีความสอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยมากขึ้น
2564-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการด้านจิตวิญญาณในผู้ป่วยมะเร็งระยะประคับประคอง
สุมิตรา ติระพงศ์ประเสริฐ
นิภาวรรณ สามารถกิจ
วิภา วิเสโส
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4538
2022-10-16T04:37:20Z
2564-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการด้านจิตวิญญาณในผู้ป่วยมะเร็งระยะประคับประคอง
สุมิตรา ติระพงศ์ประเสริฐ; นิภาวรรณ สามารถกิจ; วิภา วิเสโส
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความรุนแรงของการเจ็บป่วย การปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา และการสนับสนุนทางสังคมกับความต้องการด้านจิตวิญญาณในผู้ป่วยมะเร็งระยะประคับประคอง กลุ่มตัวอย่างจำนวน 84 ราย เป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะประคับประคองที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึง ธันวาคม พ.ศ. 2563 เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามความต้องการด้านจิตวิญญาณ แบบสอบถามการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา แบบสอบถามการรับรู้การสนับสนุนทางสังคมแบบพหุมิติ และแบบสอบถามการรับรู้ความรุนแรงของการเจ็บป่วย ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ที่ .82, .85, 83 และ .85 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่าผู้ป่วยมะเร็งระยะประคับประคองมีความต้องการด้านจิตวิญญาณอยู่ในระดับสูง (M = 2.67, SD = 0.12) การรับรู้ความรุนแรงของการเจ็บป่วย การปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา และการสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความต้องการด้านจิตวิญญาณอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = .40, p < .001; r = .36, p < .01; r = .25, p < .05 ตามลำดับ) ผลการวิจัยครั้งนี้เสนอแนะว่าพยาบาลควรจัดแนวทางปฏิบัติเพื่อตอบสนองความต้องการด้านจิตวิญญาณ โดยการประเมินความรุนแรงของการเจ็บป่วย ส่งเสริมการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา และให้การสนับสนุนทางสังคม เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความผาสุกทางจิตวิญญาณและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะสุดท้าย
2564-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการชะลอการสูญเสียหน้าที่ของไตในผู้เป็นเบาหวานในจังหวัดชลบุรี
วรารัตน์ จันทร์นุ่ม
สมสมัย รัตนกรีฑากุล
วรรณรัตน์ ลาวัง
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4537
2022-10-16T04:44:41Z
2564-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการชะลอการสูญเสียหน้าที่ของไตในผู้เป็นเบาหวานในจังหวัดชลบุรี
วรารัตน์ จันทร์นุ่ม; สมสมัย รัตนกรีฑากุล; วรรณรัตน์ ลาวัง
การวิจัยเชิงพยากรณ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมชะลอการสูญเสียหน้าที่ของไตในผู้เป็นเบาหวาน กลุ่มตัวอย่างผู้เป็นเบาหวานที่เข้ารับการรักษาที่คลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในจังหวัดชลบุรี จำนวน 210 คน คัดเลือกโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลระหว่างเดือน มกราคม 2563 ถึงเดือนมีนาคม 2563 เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อและความรุนแรงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง การรับรู้ประโยชน์และอุปสรรคของพฤติกรรมการชะลอการสูญเสียหน้าที่ของไต การรับรู้ความสามารถของตนเองในปฏิบัติพฤติกรรมการชะลอการสูญเสียหน้าที่ของไต การสนับสนุนทางสังคม และพฤติกรรมการชะลอการสูญเสีย หน้าที่ของไต วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และสถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการชะลอการสูญเสียหน้าที่ของไตโดยรวมอยู่ในระดับมาก (Madj = 3.93, SD = 1.13) โดยการรับรู้ความสามารถของตนเองในพฤติกรรมการชะลอการสูญเสียหน้าที่ของไต และการรับรู้ประโยชน์ของพฤติกรรมชะลอการสูญเสียหน้าที่ของไต สามารถร่วมทำนายพฤติกรรมการชะลอการสูญเสียหน้าที่ของไตได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ร้อยละ 18.6 (R2 = 0.186, P < .01) ผลการวิจัยครั้งนี้เสนอแนะให้พยาบาลและบุคคลทางสุขภาพสามารถนำไปพัฒนาแนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมชะลอการสูญเสียหน้าที่ของไตในผู้เป็นเบาหวาน โดยการเพิ่มการรับรู้ความสามารถของตนเองและการรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรมเพื่อสามารถลดอัตราการเกิดโรคไตเรื้อรังได้
2564-01-01T00:00:00Z
ความต่างของแรงกดที่กระดูกก้นกบระหว่างนักกายภาพบำบัดและนิสิตกายภาพบำบัด
คุณาวุฒิ วรรณจักร
พิมลพรรณ ทวีการ วรรณจักร
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4536
2022-10-16T04:43:49Z
2564-01-01T00:00:00Z
ความต่างของแรงกดที่กระดูกก้นกบระหว่างนักกายภาพบำบัดและนิสิตกายภาพบำบัด
คุณาวุฒิ วรรณจักร; พิมลพรรณ ทวีการ วรรณจักร
หัตถบำบัดที่นักกายภาพบำบัดใช้เพื่อรักษาอาการปวดข้อต่อกระดูกก้นกบ การดัด ดึงข้อต่อ เป็นวิธีการรักษาข้อติดที่นักกายภาพบำบัดใช้ประจำ นักศึกษากายภาพบำบัดจึงต้องเรียนรู้ปริมาณแรงกดจากอาจารย์ ดังนั้นเตียงแสดงแรงกดทางกายภาพบำบัด ที่มีความน่าเชื่อถือ จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ถูกต้อง และรวดเร็ว วัตถุประสงค์การศึกษานี้เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของปริมาณแรงกดที่กระดูกก้นกบโดยการกดจากด้านหลังไปด้านหน้าลำตัวระหว่างนักกายภาพบำบัดและนิสิตกายภาพบำบัด วิธีการวิจัยประกอบด้วยอาสาสมัครเพศหญิงสุขภาพดี 3 คน นอนคว่ำบนเตียงแสดงแรงกดทางกายภาพบำบัด นักกายภาพบำบัด 3 คน กดจากด้านหลังไปข้างหน้าที่ด้านหลังกระดูกก้นกบ ในเกรด 1, 2, 3 และ 4 หลังจากนั้นนิสิตกายภาพ บำบัด 3 คน ทำตามวิธีเดียวกันในอาสาสมัครคนที่ 1, 2, และ 3 ตามลำดับ ขณะศึกษาจะปิดบังหน้าจอ แสดงผลโดยนักกายภาพบำบัดผู้จดบันทึกผลอีกคน วิเคราะห์ด้วยสถิติ Wilcoxon signed-rank test ผลการวิจัยพบว่า นิสิตกายภาพบำบัด ใช้แรงกดที่กระดูกก้นกบเกรด 1 เฉลี่ย = 7.7 กิโลกรัม, เกรด 2 เฉลี่ย = 8.1 กิโลกรัม, เกรด 3 เฉลี่ย = 9.2 กิโลกรัม, เกรด 4 เฉลี่ย = 10.8 กิโลกรัม มากกว่านักกายภาพ บำบัดซึ่งกด เกรด 1 เฉลี่ย = 6 กิโลกรัม, เกรด 2 เฉลี่ย = 7 กิโลกรัม, เกรด 3 เฉลี่ย = 8.8 กิโลกรัม, เกรด 4 เฉลี่ย = 10.3 กิโลกรัม ความต่างของแรงกดของเกรด 1 = 1.7 กิโลกรัม, เกรด 2 = 1.1 กิโลกรัม, เกรด 1 = 0.4 กิโลกรัม, เกรด 1 = 0.5 กิโลกรัม ไม่พบความต่างของแรงกดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p > .05) แต่อย่างไรก็ตามแรงกดระหว่างสองกลุ่มดังกล่าวมีความต่างกันในทางคลินิก สรุปว่านิสิตกายภาพบำบัดใช้แรงกดที่กระดูกก้นกบ มากกว่านักกายภาพบำบัด ความต่างของแรงกดเกรดเพื่อลดปวด เกรด 1 = 1.7 กิโลกรัม เกรด 2 = 1.1 กิโลกรัม ไม่เหมาะสมที่จะใช้ในการรักษาเพราะแรงกดที่มากกว่าจะเสี่ยงต่อการเกิดการปวดที่มากกว่าซึ่งการเปิดเผยหน้าจอแสดงผลของเตียงแสดงแรงกดทางกายภาพบำบัด จะสามารถช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของนิสิตกายภาพบำบัด
Manual physical therapy is always used in treating sacroiliac joint pain, with joint mobilization frequently used for joint stiffness treatment. Physical therapy students must learn how to apply the appropriate quantity of force on the sacrum. A reliable physical therapy force display table may be useful for accurate and fast learning. The purpose of this study was to compare the difference between experienced physiotherapists and physiotherapy students in the force applied when using posterior-to-anterior sacrum mobilization techniques. Research methods used 3 healthy female volunteers lying prone on a force display table, 3 physical therapists who applied posteroanterior direction on the sacrum on grades 1, 2, 3, and 4, and 3 physical therapy students who applied the same procedure to the same volunteers. The display panel was closed between test periods by another, blinded physical therapist. The Wilcoxon signed-rank test was used to analyze the data. Results showed that physical therapy students applied an average force on the sacrum grade 1 = 7.7 kilograms, grade 2 = 8.1 kilograms, grade 3 = 9.2 kilograms, and grade 4 = 10.8 kilograms. Physical therapists applied an average force on the sacrum grade 1 = 6 kilograms,
2564-01-01T00:00:00Z