DSpace Collection:
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4790
2024-03-29T07:54:41Z
-
ระบบควบคุมอัตโนมัติควบคุมระยะไกลสำหรับการปลูกเมล่อนในโรงเรือน
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4455
Title: ระบบควบคุมอัตโนมัติควบคุมระยะไกลสำหรับการปลูกเมล่อนในโรงเรือน
Authors: ไพฑูรย์ ศรีนิล; สุมิตร คุณเจตน์; ธารารัตน์ พวงสุวรรณ
Abstract: งานวิจัยนี้นำเสนอการพัฒนาระบบอัตโนมัติสำหรับควบคุมการปลูกเมล่อนในโรงเรือนโดยใช้ตัวควบคุมฟัซซี่ โดยที่ตัวควบคุมฟัซซี่ออกแบบจากข้อมูลที่ได้จากการทดลองปลูกเมล่อนในโรงเรือนด้วยผู้เชี่ยวชาญ ขั้นการพัฒนาระบบแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลัก คือ (1) การค้นหารูปแบบการให้น้ำและสภาพแวดล้อมในโรงเรือนที่เหมาะสม (2) การออกแบบตัวควบคุมฟัซซี่ (3) การพัฒนาแอพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนสาหรับควบคุมระยะไกล และ (4) การทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของระบบ ในขั้นตอนการค้นหารูปแบบการให้น้ำที่เหมาะสม งานวิจัยนี้ได้กำหนดช่วงอายุของต้นเมล่อนออกเป็น 2 ช่วงอายุ คือ ช่วงอายุ 15-40 วัน และช่วงอายุ 40-80 วัน ในแต่ละช่วงอายุกาหนดรูปแบบการให้น้ำ 2 กรรมวิธี และทำการทดสอบการเจริญเติบโตของต้นเมล่อนจากการให้น้ำในแต่ละกรรมวิธีโดยการสังเกตจากค่าเฉลี่ยของ ขนาดยอด ความกว้างใบ ความยาวใบ และปริมาณคลอโรฟิลด์ในใบ ผลการทดลอง พบว่า ในต้นเมล่อนช่วงอายุ 15-40 วัน ใน 2 กรรมวิธีมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญบนการทดสอบทางสถิติ Z-test ที่ระดับนัยความสำคัญ 0.005 และเมื่อพิจารณาต้นเมล่อนในช่วงอายุ 40-80 วัน ใน 2 กรรมวิธีก็มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญบนการทดสอบทางสถิติ Z-test ที่ระดับนัยความสำคัญ 0.005 เช่นกัน จากผลการทดสอบกรรมวิธีการให้น้ำดังกล่าวทาให้ได้กรรมวิธีที่เหมาะสมสำหรับใช้ในการออกแบบตัวควบคุมฟัซซี่และใช้เป็นตัวควบคุมในระบบอัตโนมัติสำหรับการปลูกเมล่อน และในขั้นตอนท้ายสุด คือ การทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของระบบด้วยการวัดค่าน้ำหนักและความหวานของผลผลิตเมล่อนที่ได้จากการปลูกด้วยระบบอัตโนมัติเปรียบเทียบกับผลผลิตที่ได้การปลูกด้วยผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ จากผลการทดสอบ พบว่า ผลผลิตเมล่อนทั้ง 2 กลุ่มไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญบนการทดสอบทางสถิติ Z-test ที่ระดับนัยความสำคัญ 0.005 นั่นก็หมายความว่า ระบบอัตโนมัติสำหรับควบคุมการปลูกเมล่อนในโรงเรือนที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นมานี้สามารถปลูกเมล่อนได้ไม่ต่างจากการปลูกด้วยผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ หรืออาจจะกล่าวได้ว่าระบบที่พัฒนาขึ้นมานี้สามารถทำงานทดแทนแรงงานคนได้
Description: งานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากงบประมาณเงินรายได้มหาวิทยาลัย เงินรายได้ส่วนงาน เงินกองทุนวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยบูรพา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เลขที่สัญญา 05/2562
2563-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาระบบภูมิศาสตร์สารสนเทศแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรจังหวัดจันทบุรี
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4385
Title: การพัฒนาระบบภูมิศาสตร์สารสนเทศแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรจังหวัดจันทบุรี
Authors: ธารารัตน์ พวงสุวรรณ; ไพฑูรย์ ศรีนิล; สุมิตร คุณเจตน์
Abstract: ทรัพยากรน้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตทางการเกษตร แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อความผันแปรของปริมาณน้ำที่ใช้ในภาคการเกษตรในหลายพื้นที่ของประเทศไทย งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นการสำรวจ รวบรวมข้อมูลแหล่งน้ำจำนวน 22 แหล่งน้ำในจังหวัดจันทบุรี โดยทำการเก็บข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมและข้อมูลแหล่งน้ำภาคสนาม จำนวน 2 ครั้งในแต่ละแหล่งน้ำ คือ ครั้งที่ 1 เป็นช่วงเวลาปลายฝน(ส.ค.-ธ.ค.) และครั้งที่ 2 เป็นช่วงเวลาปลายแล้ง(ก.พ.-ก.ค.) ซึ่งข้อมูลที่เก็บประกอบไปด้วย ชื่อและที่ตั้งแหล่งน้ำ พื้นที่แหล่งน้ำ ความลึกเฉลี่ยของแหล่งน้ำ ปริมาตรน้ำของแหล่งน้ำและวันที่เก็บข้อมูล จากการสำรวจและรวบรวมข้อมูลแหล่งน้ำ พบว่า เมื่อพิจารณาปริมาตรของแหล่งน้ำ สามารถแบ่งออกเป็นแหล่งน้ำซึ่งมีปริมาตรน้ำมากกว่า 100 ล้านลูกบาศก์เมตร จำนวน 2 แหล่ง แหล่งน้ำซึ่งมีปริมาตรน้ำอยู่ระหว่าง 1-100 ล้านลูกบาศก์เมตร จำนวน 6 แหล่ง และแหล่งน้ำซึ่งมีปริมาตรน้ำน้อยกว่า 1 ล้านลูกบาศก์เมตร จำนวน 14 แหล่ง จากการเก็บข้อมูลความลึกของแหล่งน้ำใน 2 ช่วงเวลา ทำให้พบความแตกต่างของระดับความลึกของน้ำ โดยช่วงปลายฝนจะมีแหล่งน้ำที่มีค่าเฉลี่ยความลึกในช่วง 2.29-56.66 เมตร และช่วงปลายแล้งจะมีแหล่งน้ำที่มีค่าเฉลี่ยความลึกอยู่ในช่วง 1.05-35 เมตร ซึ่งทำให้เห็นว่า ปริมาตรน้ำมีค่าลดลงในช่วงปลายแล้ง โดยเฉพาะแหล่งน้ำขนาดใหญ่จะมีปริมาตรลดลงเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ แหล่งน้ำขนาดเล็กจะมีปริมาตรน้ำไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก จากนั้นจะนำข้อมูลที่รวบรวมได้ทั้งหมดมาหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลน้ำกับภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งพบความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรน้ำของแหล่งน้ำกับพื้นผิวน้ำที่สกัดได้จากภาพถ่ายดาวเทียม โดยข้อมูลที่เก็บรวมรวมได้ทั้งหมดจะถูกนำมาจัดทำเป็นฐานข้อมูลแหล่งน้ำและนำเสนอในรูปแบบระบบภูมิศาสตร์สารสนเทศแบบออนไลน์
Description: โครงการวิจัยประเภทงบประมาณเงินรายได้มหาวิทยาลัย เงินรายได้ส่วนงาน เงินกองทุนวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยบูรพา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562
2563-01-01T00:00:00Z
-
โครงการวิจัยการสะสมคาร์บอนของหญ้าทะเลที่มีผลต่อการลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในพื้นที่ศึกษาเขตศูนย์การศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4063
Title: โครงการวิจัยการสะสมคาร์บอนของหญ้าทะเลที่มีผลต่อการลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในพื้นที่ศึกษาเขตศูนย์การศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี
Authors: ปัทมา ศรีน้ำเงิน
Abstract: หญ้าทะเล (Seagrass) เป็นพืชที่มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศทางทะเลตามบริเวณชายฝั่งเป็นอย่างมาก ทั้งในส่วนของ carbon sink และมีความสามารถในการดูดซับคาร์บอนในบรรยากาศได้เป็นอย่างดี โดยอินทรีย์คาร์บอนในหญ้าทะเลรู้จักกันชื่อเรียกว่า คาร์บอนสีน้าเงิน วัตถุประสงค์ของงานวิจัยในครั้งนี้ เพื่อศึกษาศักยภาพการสะสมอินทรีย์คาร์บอนที่อยู่ในหญ้าทะเล 2 ชนิด คือ Enhalus acoroides และ Halodule pinifolia ที่ขึ้นบริเวณพื้นที่ศึกษาเขตศูนย์การศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน จังหวัดจันทบุรี โดยการวัดปริมาณชีวมวลและอินทรีย์ คาร์บอนจากส่วนที่อยู่เหนือดิน คือ ลำต้นและใบ และส่วนที่อยู่ใต้ดิน คือ เหง้า และราก ที่ขึ นตามบริเวณชายฝั่งทะเลประมาณ 0.5, 0.51.0 และมากกว่า 1.0 กิโลเมตร ขึ้นไป พบว่าหญ้าทะเลชนิด E. acoroides มีปริมาณอินทรีย์คาร์บอนสะสมอยู่บริเวณเหง้ามากที่สุดถึง 43.67% แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับปริมาณอินทรีย์คาร์บอนสะสมบริเวณใบและรากคือ 34.69% และ 34.47% ตามลำดับ ในขณะที่ทุกส่วนของ หญ้าทะเลชนิด H. piniforlia คือ ใบ เหง้าและราก มีปริมาณอินทรีย์คาร์บอนสะสมไม่แตกต่างกันคือ 42% และ 43% ตามลำดับ โดยปริมาณ อินทรีย์คาร์บอนนี้ไม่ขึ้นกับตำแหน่งหรือบริเวณที่หญ้าทะเลทั้งสองชนิดนี้ เจริญเติบโตอยู่การศึกษาอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงในรอบวันของหญ้าทะเลพันธุ์ E. acoroides Linn. ทำการศึกษาในช่วงเวลาที่มีสภาพอากาศแตกต่างกัน ในเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และเมษายน พ.ศ. 2559 วัดการสังเคราะห์ด้วยแสงในรอบวันพร้อมกับการเก็บข้อมูลของสภาพอากาศ ได้แก่ ความเข้มแสง อุณหภูมิของอากาศและน้ำ และความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศ อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงคำนวณได้จากการปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ใน chamber ที่ลดลง โดยมีการวัดสลับกันระหว่าง chamber ที่มีหญ้าทะเลและไม่มีหญ้าทะเล จากผลการทดลอง พบว่า อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของหญ้าทะเลมีการเปลี่ยนแปลงในรอบวันและตามฤดูกาลขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของความเข้มแสงและอุณหภูมิของอากาศและน้ำ โดยในช่วงเช้าอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงเพิ่มขึ้นและมีค่าสูงที่สุดในเวลาเที่ยงวัน และมีค่าลดลงอย่างต่อเนื่องในเวลาเย็น อัตราการสังเคราะห์แสงของหญ้าทะเล มีค่าสูงสุดเท่ากับ 0.5 μmol CO2 m-2s-1 และมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงมากที่สุด เท่ากับ 350 ppm แสดงว่า มีการดูดกลืนคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด ส่วนค่า pH ในน้ำทะเล มีค่าคงที่ตลอดทั้งวัน ทั้งนี้ ค่า pH ในหญ้าทะเลในช่วงเวลา 7.00 - 12.00 น. มีค่าต่ำกว่าค่า pH ในน้าทะเล ในขณะที่ในช่วงเวลา 13.00 – 17.00 น. pH ในหญ้าทะเลจะมีค่าสูงกว่าในน้ำทะเล
การศึกษาการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของหญ้าทะเล Enhalus acoroides Linn โดยวิธีการวัดการแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบปิด ตู้วัด (chamber) ทำจากตู้กระจกใสขนาด 29 x 39 x 40 ซม. ซึ่งฝาปิดด้านบนท้าด้วยแผ่นพลาสติก PE ใสหนา 1.2 μm ความเข้มข้นของ CO2 ในอากาศ ตรวจวัดด้วยเครื่องวัดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศด้วยรังสีอินฟราเรด รุ่น LI-820 (LI-COR, Inc) โดยการต่อสายสุ่มอากาศจากตู้มายังเครื่องวัดและหมุนเวียนอากาศที่ผ่านการวัดแล้วกลับไปยังตู้อีกครั้งหลังจากตรวจวัด ภายในตู้วัดบรรจุน้ำทะเลที่มีความเค็ม 30 พีพีที และมีความลึก 15 ซม. ทดสอบการวัดทุก ๆ 1 ชั่วโมง ตั งแต่เวลา 8:00 – 17:00 น. พร้อมการเก็บข้อมูลสภาพแวดล้อม ได้แก่ ความเข้มแสง อุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศ อุณหภูมิและความเป็นกรด-เบส (pH) ของน้ำ คำนวณอัตราการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ พบว่า อัตราการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของหญ้าทะเลมีการเปลี่ยนแปลงในรอบวันสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของความเข้มแสง โดยในช่วงเช้ามีการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีค่าต่ำและเพิ่มขึ้นจนมีค่าสูงที่สุดในเวลา 13.00 น. หลังจากนั้นมีค่าลดลงในช่วงบ่าย การดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของหญ้าทะเล มีค่าสูงสุดเท่ากับ 0.3 μmol CO2 m-2s-1 ค่าความเป็นกรด-เบสของน้าทะเลที่ไม่มีหญ้าทะเลคงที่ 6.6 ตลอดการดลอง ขณะที่ค่าความเป็นกรด-เบสของน้ำทะเลที่มีหญ้าทะเลมีค่า 5.8 ในช่วงเข้าและค่าความเป็นกรด-เบสเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนมีค่าสูงสุด 7.5 เมื่อเวลา 17.00 น.
Description: โครงการวิจัยประเภทงบประมาณเงินรายได้จากเงินอุดหนุนรัฐบาล (งบประมาณแผ่นดิน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559
2561-01-01T00:00:00Z
-
โครงการคุณสมบัติและการแสดงออกของยีน cell wall hydrolase ระหว่างการสุกของผลทุเรียน
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4048
Title: โครงการคุณสมบัติและการแสดงออกของยีน cell wall hydrolase ระหว่างการสุกของผลทุเรียน
Authors: ยศพล ผลาผล
Abstract: การกระตุ้นและชะลอการสุกของทุเรียนพันธุ์หมอนทองโดยการไม่ใช้และใช้เอทิฟอนความเข้มข้น 48% ป้ายที่ขั้วผล และการรมผลทุเรียนด้วย 1-MCP (1-methylcyclopropene) ภายหลังการเก็บเกี่ยวแล้วนำไปเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 25 OC ทำการบันทึกความแข็งของเนื้อ อัตราการผลิตเอทิลีน การแตกของผล ทำการจำแนกและศึกษาคุณสมบัติของยีน cell wall hyhrolases ผลการทดลองพบว่า ผลทุเรียนของชุดควบคุมมีความแน่นเนื้อของผลทุเรียนลดลงอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลา 5 วัน การลดลงของความแน่นเนื้อเกิดขึ้นได้โดยการให้เอทิลีน ในขณะที่สารยับยั้งการทำงานเอทิลีน 1-MCP ชะลอการอ่อนนุ่มของเนื้อ การโคลนยีน expansin ในเนื้อผลทุเรียนสามารถโคลนยีน alpha expansin ได้ 3 ยีน ได้แก่ DzEXP1, DzEZP2 และ DzEXP3 การแสดงออกของยีน DzEXP1 และ DzEXP2 เพิ่มสูงขึ้นชัดเจนระหว่างการอ่อนนุ่มของเนื้อผล ผลการให้เอทิลีนและสารยับยั้งการทำงาน 1-MCP แสดงให้เห็นว่า DzEXP1 และ DzEXP2 เกี่ยวกับการอ่อนนุ่มของเนื้อทุเรียน ในการจำแนกยีน cell wall-degrading enzymes พบว่า สามารถโคลนยีนได้ 5 ยีน ได้แก่ DzPME (pectin methylesterase), DzPL (pectate lyase), DzPG (polygalacturonase), DzGAL (β-galactosidase ) และ DzEG (endo-β-1,4-glucanase) ในเนื้อผล ระดับการแสดงออกของยีน DzPG ในเนื้อผลเพิ่มสูงขึ้นและการให้เอทีฟอนชักนำให้มีการแสดงออกมากขึ้น การใช้สาร 1-MCP สามารถยับยั้งการแสดงออกของยีน DzPG อย่างไรก็ตามลักษณะการแสดงออกของยีน DzPL เหมือนกับการแสดงออกของ DzPG การแสดงออกของยีน DzPG สอดคล้องกับการลดลงของความแน่นเนื้อเนื้อผลทุเรียนอย่างเด่นชัด ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่ายีน DzPG มีบทบาทสำคัญในการอ่อนนุ่มของเนื้อผลทุเรียน
Description: โครงการวิจัยประเภทงบประมาณเงินรายได้จากเงินอุดหนุนรัฐบาล (งบประมาณแผ่นดิน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559
2561-01-01T00:00:00Z