Faculty of Sport Science
คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4718
2024-03-28T12:46:18Z
2024-03-28T12:46:18Z
โครงการการสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการห้องออกกำลังกาย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา
กมลมาลย์ พลโยธา
กันทิมา ชะระภิญโญ
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/10292
2024-01-10T01:13:40Z
2562-01-01T00:00:00Z
โครงการการสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการห้องออกกำลังกาย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา
กมลมาลย์ พลโยธา; กันทิมา ชะระภิญโญ
การวิจัยเรื่อง “การสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการห้องออกกำลังกาย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลของห้องออกกำลังกาย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อทราบถึงรูปแบบของกระบวนการตัดสินใจใช้บริการ
ห้องออกกำลังกาย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา และเพื่อศึกษาอิทธิพลของการสื่อสาร
การตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลต่อการตัดสินใจใช้บริการห้องออกกำลังกาย คณะวิทยาศาสตร์
การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา เป็นการศึกษาการวิจัยแบบผสมผสานวิธี (Mixed Method Research) ใน
แบบคู่ขนาน (Parallel-Database Design) ประกอบด้วยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative
Research) และวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เก็บรวบรวมด้วยวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล
ที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการตอบแบบสอบถามจาก
ผู้ที่เข้าใช้บริการห้องออกกำลังกาย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา
ผลการวิจัยพบว่า การวิจัยเชิงปริมาณกลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชายมากที่สุด จำนวน 66 คิดเป็นร้อยละ 66.00 และเป็นเพศหญิง จำนวน 34 คน คิดเป็นร้อยละ 34.00 จำแนกตามช่วงอายุ พบว่า อายุ 21 – 25 ปี มีมากที่สุด จำนวน 50 คน คิดเป็นร้อยละ 50.00 จำแนกการประกอบอาชีพ พบว่า นิสิต/นักศึกษา มีมากที่สุด จำนวน 80 คน คิดเป็นร้อยละ 80.00 จำแนกระดับการศึกษา พบว่า ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี มีมากที่สุด จำนวน 73 คน คิดเป็นร้อยละ 73.00 ส่วนพฤติกรรมใช้บริการห้องออกกำลังกายห้องออกกำลังกาย จำแนกตามสาเหตุที่เลือกออกกำลังกาย พบว่า เพื่อลดน้ำหนักมากที่สุด จำนวน 81 คน คิดเป็นร้อยละ 29.45 ด้านช่องทางที่รับหรือหาข้อมูลเกี่ยวกับห้องออกกำลังกาย อันดับแรกคือ เฟสบุ๊ค จำนวน 87 คน คิดเป็นร้อยละ 79.80 ขณะที่บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้บริการห้องออกกำลังกาย คือ ตนเอง จำนวน 94 คน คิดเป็นร้อยละ 54.65 ส่วนสาเหตุที่ตัดสินใจเลือกใช้บริการห้องออกกำลังกาย อันดับแรกคือ เดินทางสะดวก จำนวน 59 คน คิดเป็นร้อยละ 24.58 ขณะเดียวกันความถี่ในการเข้าใช้บริการต่อสัปดาห์ อันดับแรกคือ 3 ครั้ง/สัปดาห์ จำนวน 34 คน คิดเป็นร้อยละ 34.00 และระยะเวลาการเป็นสมาชิกห้องออกกำลังกาย อันดับ
แรกคือ 5 – 6 เดือน จำนวน 32 คน คิดเป็นร้อยละ 32.00
ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพ พบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชายมากที่สุด จำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 60.00 และเป็นเพศหญิง จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 40.00 จำแนกตามช่วงอายุ พบว่า อายุ 21 – 25 ปี มีมากที่สุด จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 40.00 จำแนกการประกอบอาชีพ พบว่า นิสิต/นักศึกษา มีมากที่สุด จำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 80.00 ส่วนระดับการศึกษา พบว่า ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี มีมากที่สุด จำนวน 7 คน
ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันโมเดลการสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการห้องออกกำลังกาย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา
ปรากฎว่า โมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 100 คน ปรากฎว่า ค่าสิถิติ
ไคสแควร์ ( ) เท่ากับ .08 ค่าองศาอิสระ (df) เท่ากับ 1 มีความน่าจะเป็น เท่ากับ 0.78 ส่วนค่าความ
คลาดเคลื่อนในการประมาณค่าพารามิเตอร์ (RMSEA) เท่ากับ 0.00 ดัชนีวัดระดับความกลมกลืน
เปรียบเทียบ (CFI ) เท่ากับ 1.00 ค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้อง (GFI ) เท่ากับ 1.00 และค่ารากของ
ค่าเฉลี่ย (SRMR) เท่ากับ 0.08 และ / df มีค่าน้อยกว่า 2.00 สรุปได้ว่า โมเดลการสื่อสารทางการตลาด
แบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการห้องออกกำลังกาย คณะวิทยาศาสตร์การ
กีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งโมเดลสอดคล้องกับ
ข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยตัวแปรด้านการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัล (DIMC)
ประกอบด้วย ตัวแปรสังเกตได้ 5 ตัวแปร ค่าน้ำหนักขององค์ประกอบตัวแปรสังเกตได้มีค่าเป็นบวก
ระหว่าง 0.89 ถึง 0.37 และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทุกตัว ซึ่งจัดเรียงลำดับตามค่าน้ำหนัก
องค์ประกอบมาตรฐานจากมากไปหาน้อย ดังนี้ การให้ข่าวและการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อดิจิทัล (DIMC
4) การส่งเสริมการขายผ่านสื่อดิจิทัล (DIMC 3) การขายโดยใช้พนักงานผ่านสื่อดิจิทัล (DIMC 2) การ
โฆษณาผ่านสื่อดิจิทัล (DIMC 1) และการตลาดทางตรงผ่านสื่อดิจิทัล (DIMC 5) ตามลำดับ
จากการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ และวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ สามารถสรุป
รูปแบบการสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการห้องออก
กำลังกาย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา คือ การนำระบบสารสนเทศมาใช้ในการบริหาร
จัดการให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเน้นการใช้การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัล ซึ่งไป
การดำเนินกิจกรรมทางการตลาด โดยใช้ช่องทางอินเตอร์เน็ตเป็นสื่อ ผสมผสานการใช้สื่อออนไลน์ เช่น
เฟสบุ๊ค ยูทูป อินสตราเกรม และเว็บไซต์ ประกอบด้วย
1. การโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัล ได้แก่
1.1 จัดทำสื่อทั้งภาพนิ่งภาพเคลื่อนไหว เป็นการโฆษณาออนไลน์ตามเฟสบุ๊ค แฟนเพจ หรือยูทูป เพื่อให้เกิดการรับชมจากผู้ใช้บริการห้องออกกำลังกาย
1.2 ใช้ช่องทางเผยแพร่ในสื่อโซเชี่ยลมีเดีย โดยอาจจะเสริมการซื้อโฆษณาที่แสดงอยู่บนเครื่องมือค้นหา หรือเว็บไซต์ เพื่อจูงใจให้มาใช้บริการห้องออกกำลังกาย
2. การขายโดยใช้พนักงานผ่านสื่อดิจิทัล ได้แก่
2.1 การที่เจ้าของกิจการหรือบุคลากรมาทําหน้าที่ในการขายโปรแกรมการออกกำลังกายผ่านสังคมออนไลน์
2.2 การให้ข้อมูลเพื่อการสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อลูกค้าเป้าหมาย โดยการสื่อสารผ่านอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีในอินเตอร์เน็ตหรือผ่านสังคมออนไลน์
3. การส่งเสริมการขายผ่านสื่อดิจิทัล ได้แก่
3.1 การใช้การกระตุ้นการซื้อขาย เช่น จัดโปรโมชั่น ส่วนลดราคา ผ่านสื่อออนไลน์ หรือเว็บไซต์
3.2 การขายโดยมีพนักงานขายมาต่อรองราคาผ่านทางสื่อ ผ่านสื่อออนไลน์และสังคมออนไลน์
4. การให้ข่าวและการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อดิจิทัล ได้แก่
4.1 การให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์ด้วยการสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต ผ่านสื่อออนไลน์และเว็บไซต์
4.2 ภาพลักษณ์ที่ดีต่อการให้บริการห้องออกกำลังกาย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา ในระยะยาว ด้วยการสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต ผ่านสื่อออนไลน์และเว็บไซต์
5. การตลาดทางตรงผ่านสื่อดิจิทัล ได้แก่
5.1 การสื่อสารทางตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายเป็นรายบุคคล เพื่อให้เกิดการตอบสนองในทันที เช่น ข้อความส่วนตัว (inbox) จดหมายอิเล็กทรอนิค (E-mail)
5.2 การสื่อสารโดยมีแอดมินหรือผู้ให้ข้อมูล เพื่อตอบข้อสงสัยข้อคำถามได้อย่างทันที
สรุปได้ว่า การสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัล มีผลต่อผู้ใช้บริการในการตัดสินใจใช้บริการห้องออกกำลังกาย โดยทาคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาควรมีการใช้วิธีการสื่อสารผ่านสื่อดิจิทัลเพื่อไปพัฒนาการเผยแพร่ข้อมูล การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา แก่ผู้ใช้บริการห้องออกกำลังกายผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป
1. ควรทำการศึกษากับการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่ออื่น ๆ เพราะในปัจจุบันช่องทางการสื่อสารมีมากมาย และไม่ตายตัว มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ทั้งในด้านของเทคโนโลยี หรือเทคนิคในการนำเสนอต่าง ๆ ทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคสมัยนั้น ๆ
2. แนะนำให้ศึกษาการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัล เปรียบเทียบในระหว่างช่วงของการใช้มาตรการควบคุมโรคระบาดโควิด 19 เพื่อได้ทราบแนวทางการจัดการและการใช้การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลที่มีวิธีการหลากหลายมากขึ้น
3. ควรเพิ่มวิธีการดำเนินศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพในรูปแบบอื่นเพิ่มเติม เพื่อให้ได้คำตอบการวิจัยที่มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เช่น การสนทนากลุ่ม (Focus Group) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation) เป็นต้น
งานวิจัยนี่ได้รับทุนอุดหนุนจาก คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา ปีงบประมาณ 2562
2562-01-01T00:00:00Z
โมเดลสมการโครงสร้างของปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถของนักกีฬาว่ายน้ำ มาราธอนเยาวชนทีมชาติไทย
พรพจน์ ไชยนอก
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/10282
2023-11-13T08:19:16Z
2565-01-01T00:00:00Z
โมเดลสมการโครงสร้างของปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถของนักกีฬาว่ายน้ำ มาราธอนเยาวชนทีมชาติไทย
พรพจน์ ไชยนอก
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาและเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบของร่างกาย สมรรถภาพทางกาย ความสามารถในการออกแรง ตัวแปรทางด้านระบบพลังงาน และความสามารถในการแข่งขันระยะทาง 5 กิโลเมตรในนักกีฬาว่ายน้ำมาราธอนเยาวชนก่อนและหลังการฝึก 12 สัปดาห์ในวงรอบการ ฝึกวงรอบที่ 3 ของปีและ (2) เพื่อใช้เทคนิคของโมเดลสมการโครงสร้างในการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ เพื่อตรวจสอบตัวแปรทำนายที่สามารถนำมาสร้างสมการพยากรณ์ความสามารถในการแข่งขันระยะทาง 5 กิโลเมตรของนักกีฬาว่ายน้ำมาราธอนเยาวชนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือนักกีฬาว่ายน้ำมาราธอน เยาวชนทีมชาติไทย จำนวน 22 คน (ชาย 11, หญิง 11) อายุเฉลี่ย 15.36 +1.05 ปี เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยและร้อยละการเปลี่ยนแปลงของตัวแปร ระหว่างก่อนและหลังการฝึกโดยใช้สถิติค่าที วิเคราะห์โมเดลสมการ โครงสร้างโดยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยใช้ โปรแกรม LISREL student 9.30 ทดสอบความมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาพบว่าความสามารถในการแข่งขันระยะทาง 5 กิโลเมตรมีการพัฒนาขึ้นเมื่อเปรียบเทียบก่อนและ หลังการฝึก 12 สัปดาห์ในวงรอบการฝึกวงรอบที่ 3 ของปีอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.01) คิดเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 9.01 เมื่อพิจารณาถึงองค์ประกอบด้านต่าง ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนามากที่สุด 3 อันดับแรกพบว่า ร้อย ละของไขมันมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ร้อยละ 6.69 (d=0.27, Small) รองลงมาได้แก่ แรงเฉลี่ยในการว่าย โดยใช้ขา ร้อยละ 5.97 (d=0.20, small) และปริมาณแลคเตทสูงสุดจากการทดสอบ 6x50 เมตร ร้อยละ 5.18 (d=0.46, small) ตามลำดับ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณของตัวแปรแต่ละด้านที่ส่งผลต่อ ความสามารถในการแข่งขันระยะทาง 5 กิโลเมตรของนักกีฬาว่ายน้ำมาราธอนเยาวชนพบว่าองค์ประกอบที่ สามารถอธิบายความแปรปรวนของความสามารถในการแข่งขันได้มากที่สุดคือ ตัวแปรทางด้านระบบพลังงาน แบบแอโรบิค ร้อยละ 55.0 รองลงมาได้แก่ ตัวแปรของสมรรถภาพทางกาย ร้อยละ 40.4 ตัวแปรองค์ประกอบของร่างกาย ร้อยละ 24.9 ตัวแปรทางด้านระบบพลังงานแบบแอนแอโรบิค ร้อยละ 21.1 และตัวแปรทางด้าน ความสามารถในการออกแรง คิดเป็นร้อยละ 8.7 ตามลำดับ ผลที่ได้จากการวิจัยในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึง ลักษณะการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบที่ส่งผลต่อความสามารถของนักกีฬาว่ายน้ำมาราธอนเยาวชนในวงรอบการฝึก และความสำคัญของตัวแปรด้านระบบพลังงานแบบแอโรบิคและองค์ประกอบด้านสมรรถภาพ ทางกายที่มีความสำคัญโดยตรงต่อความสามารถ ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับผู้ฝึกสอนในการวางแผนการ ฝึกซ้อมเพื่อพัฒนาความสามารถของนักกีฬาว่ายน้ำมาราธอนเยาวชนในระยะยาวต่อไป
2565-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาเครื่องวัดแรงบีบมือเป็นระบบดิจิตอลด้วยการจับคู่ แบบบลูทูธบนจอแสดงผลการทำงาน
ฉัตรกมล สิงห์น้อย
อรวรีย์ อิงคเตชะ
สัญชัย เอียดปราบ
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/10277
2023-10-24T03:05:04Z
2565-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาเครื่องวัดแรงบีบมือเป็นระบบดิจิตอลด้วยการจับคู่ แบบบลูทูธบนจอแสดงผลการทำงาน
ฉัตรกมล สิงห์น้อย; อรวรีย์ อิงคเตชะ; สัญชัย เอียดปราบ
วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้เพื่อพัฒนาเครื่องวัดแรงบีบมือให้เป็นระบบดิจิตอลแล้วด้วยการจับคู่ สัญญาณแบบบลูทูธเพื่อแสดงผลการทำงานบนจอ และเพื่อศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องวัดแรงบีบมือให้เป็นระบบดิจิตอลแล้วด้วยการจับคู่สัญญาณแบบบลูทูธเพื่อแสดงผลการทำงานบนจอ ระยะที่ 1 สร้างเครื่องวัดแรงบีบมือให้เป็นระบบดิจิตอลแล้วด้วยการจับคู่สัญญาณแบบบลูทูธเพื่อแสดงผล การทำงานบนจอ ในระยะที่ 2 เป็นการทดสอบประสิทธิผลของเครื่องวัดแรงบีบมือให้เป็นระบบดิจิตอล ใช้การประมาณกลุ่มตัวอย่างครั้งนี้ใช้การคำนวณด้วยโปรแกรม G Power ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 71 คน (effect size = 0.05, alpha=0.05, power= 0.08) กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาที่มีอายุ ระหว่าง 18-22 ปี เพศชายจำนวน 41 คน และเพศหญิงจำนวน 30 คนที่มีสุขภาพดี และไม่มีการบาดเจ็บที่มือ หรือแขนอันเป็นอุปสรรคต่อการ การทดสอบการออกแรงบีบมือของเครื่องวัดแรงบีบมือให้เป็นระบบดิจิตอล แล้วด้วยการจับคู่สัญญาณแบบบลูทูธเพื่อแสดงผลการทำงานบนจอกับนิสิตที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างจำนวน 10 คน โดยให้ออกแรงบีบด้วยมือที่ถนัดจำนวน 3 ครั้งแล้วนำผลที่ดีที่สุดมาบันทึก แล้วให้กลุ่มตัวอย่างพัก 1 วันก่อน ทำการบีบด้วยมือที่ถนัดจำนวน 3 ครั้งแล้วนำผลที่ดีที่สุดมาบันทึก แล้วคำนวณค่า R ได้เท่ากับ = 0.997 ผลการศึกษาพบว่าเครื่องวัดแรงบีบมือให้เป็นระบบดิจิตอลแล้วด้วยการจับคู่สัญญาณแบบบลูทูธเพื่อ แสดงผลการทำงานบนจอที่พัฒนาโดยวัดแรงบีบจากตัวต้านทานปรับค่าที่อยู่ภายในตัวเครื่องแล้วประมวลผล แรงบีบมาแสดงที่จอแสดงผลบนตัวเครื่อง ซึ่งการออกแบบอุปกรณ์ที่จะเพิ่มเข้ามาช่วยในการอ่านข้อมูลแรงบีบ มือจากเครื่องเดิมจะประกอบไปด้วย MCU ซึ่งทำหน้าที่ในการอ่านค่าแรงดันที่ผ่านตัวต้านทานปรับค่าได้ เพื่อให้สามารถส่งข้อมูลที่ประมวลผลได้ไปยังแอพลิเคชันบนมือถือ ค่าที่บันทึกไว้ไปหาสมการจึงได้เป็นสมการ ดังนี้ แรงบีบ = (-0.037828730872245 x ค่าที่เฉลี่ยได้) + 133.454720198296 นอกจากนั้นการศึกษาประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องวัดแรงบีบมือให้เป็นระบบดิจิตอลแล้วด้วย การจับคู่สัญญาณแบบบลูทูธเพื่อแสดงผลการทำงานบนแอพพลิเคชั่นที่พัฒนาขึ้นมาเปรียบเทียบกับเครื่องวัด แรงบีบมือมาตรฐานโดยใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 71 คน พบว่ามีสหสัมพันธ์ระดับสูง (r=.951) ซึ่งถือว่าเป็น เครื่องมือที่สามารถนำไปใช้ในการวัดแรงบีบมือต่อไปได้
2565-01-01T00:00:00Z
การสร้างตราสินค้า และความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การสื่อสารการตลาดกับบุคลิกภาพตราสินค้า
กิจกรรมงานวิ่งบางแสน 42 ชลบุรี มาราธอน
สราลี สนธิ์จันทร์
วิรัตน์ สนธิ์จันทร์
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/10266
2023-10-11T07:07:57Z
2565-01-01T00:00:00Z
การสร้างตราสินค้า และความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การสื่อสารการตลาดกับบุคลิกภาพตราสินค้า
กิจกรรมงานวิ่งบางแสน 42 ชลบุรี มาราธอน
สราลี สนธิ์จันทร์; วิรัตน์ สนธิ์จันทร์
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. กระบวนการสร้างตราสินค้ากิจกรรมงานวิ่งบางแสน 42 ชลบุรี มาราธอน 2. การรับรู้การสื่อสารการตลาด และบุคลิกภาพตราสินค้ากิจกรรมงานวิ่งบางแสน 42 ชลบุรี มาราธอน 3. ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การสื่อสารการตลาดกับบุคลิกภาพตราสินค้ากิจกรรมงานวิ่งบางแสน 42 ชลบุรี มาราธอน เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods) คือ การวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับผู้ที่รู้จริง (Key Informant) จำนวน 3 คน และการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้วิธีการสำรวจด้วยแบบสอบถาม ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.94 และ 0.96 จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักวิ่งงานวิ่งบางแสน 42 ชลบุรี มาราธอน จำนวน 400 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยไม่อาศัยความน่าจะเป็น คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน โดยกำหนดค่าระดับนัยสำคัญที่ 0.05
ผลการศึกษาพบว่า
1. กิจกรรมงานวิ่งบางแสน 42 ชลบุรี มาราธอน มีกระบวนการสร้างตราสินค้า 3 ขั้นตอน
1.1 วิเคราะห์กลยุทธ์ของตราสินค้า คือ วิเคราะห์ความต้องการของนักวิ่ง วิเคราะห์การจัดงานวิ่ง
ระยะมาราธอนในประเทศไทย และวิเคราะห์จุดแข็งตราสินค้าของตนเอง 1.2 สร้างอัตลักษณ์ของตรา
สินค้า คือ เป็นงานวิ่งที่มีระยะมาราธอนเพียงระยะเดียวในประเทศไทยที่มีมาตรฐานระดับโลก โดย
วางแนวคิดหลักว่า “The Passion of World-Class Marathon” และนำเสนอคุณค่าของตราสินค้า
ว่า “ท่านจะได้วิ่งงานฟูลมาราธอนที่มีมาตรฐานระดับโลก” 1.3 นำอัตลักษณ์ของตราสินค้าไปสร้าง
ตราสินค้า คือ World-Class Marathon โดยสื่อสารผ่านสื่อต่าง ๆ ให้เห็นถึงการบริหารจัดการที่ดี
และเป็นงานวิ่งที่ได้มาตรฐานระดับโลก
2. กลุ่มตัวอย่างรับรู้การสื่อสารการตลาดอยู่ในระดับปานกลาง และมีการรับรู้บุคลิกภาพตราสินค้าของกิจกรรมงานวิ่งบางแสน 42 ชลบุรี มาราธอน อยู่ในบุคลิกภาพผู้มีความสามารถ มากที่สุด
3. ความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารการตลาดกิจกรรมงานวิ่งบางแสน 42 ชลบุรี มาราธอน กับการรับรู้มิติบุคลิกภาพจริงใจ มีความสัมพันธ์การทางบวก มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ที่ระดับ 0.46 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05
งานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากงบประมาณทุนอุดหนุนการวิจัยแก่บุคลากรคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา งบประมาณรายได้ส่วนงาน ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๕
2565-01-01T00:00:00Z