Faculty of Science
คณะวิทยาศาสตร์
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/4717
2024-03-28T11:07:39Z
2024-03-28T11:07:39Z
การแพร่กระจายและการสะสมของปริมาณโลหะหนักบางชนิดบริเวณชุมชนชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก
อรุณี เทอดเทพพิทักษ์
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/17225
2024-03-15T07:19:25Z
2536-01-01T00:00:00Z
การแพร่กระจายและการสะสมของปริมาณโลหะหนักบางชนิดบริเวณชุมชนชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก
อรุณี เทอดเทพพิทักษ์
ผลการศึกษาการแพร่กระจายและการสะสมของปริมาณโลหะหนักบางชนิดบริเวณชุมชนชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก โดยเก็บตัวอย่างน้ำทะเลและดินตะกอนห่างจากชายฝั่งทะเลประมาณ 1 กิโลเมตร ตั้งแต่เมืองชลบุรีถึงพัทยา รวม 8 สถานี ในช่วงเดือนมากราคมถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2535 คุณภาพน้ำทะเลโดยเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (สวล) โดยค่าอุณหภูมิ 25.9-29.9 c พีเอช7.9-8.2 ออกซิเจนละลายน้ำ 4.24-6.06 mg/L ความเค็ม 30.3-35.4 ppt และความโปร่งใส 2.5-3.2 m ผลการวิเคราะห์โลหะหนักในตัวอย่างน้ำทะเลดินตะกอนที่เก็บในช่วงเดือนเมษายนถึงสิงหาคม โดยวิธี Differential Pulse Anodic Stripping Voltammetry และหาความเข้มช้นโดยวิธี standard addition ค่าพิสัยของปริมาณโลหะสังกะสี แคดเมียม ตะกั่ว คอปเปอร์ และปรอท ในตัวอย่างน้ำทะเล เท่ากับ ไม่พบ - 510, ไม่พบ -7.44, ไม่พบ -51.43, ไม่พบ -22.87 และ .0042 -5.9624 ug/L ตามลำดับ โดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานสวล ยกเว้นโลหะปรอทที่สถานีหน้าอำเภอเมืองชลบุรี และสังกะสีที่สถานีเกาะลอยศรีราชาและท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ค่าพิสัยของปริมาณโลหะสังกะสี แคดเมียม ตะกั่ว คอปเปอร์ และปรอท ในดินตะกอนเท่ากับ 6.53 -243.62, nd -0.27, 1.82 -29.45, 0.72 -33.41 และ 07x10 -3 -2.11 x 10 -3 u/g dry wt ตามลำดับ และแนวโน้มโลหะสังกะสีจะเพิ่มขึ้น ความสามารถในการสะสมโลหะหนักในดินตะกอนเที่ยบกับน้ำทะเล พบว่า ตะกั่วสูงสุด รองลงมา คือ ทองแดง สังกะสี แคดเมียมและปรอทตามลำดับ ปริมาณสารอินทรีย์ในดินตะกอนอยู่ในช่วง 1.17-12.08% ซึ่งจะพบมากในดินตะกอนที่มีลักษณะเป็นดินโคลนบริเวณหน้าอำเภอเมืองชลบุรี อ่างศิลา และบริเวณหาดบางแสน ปริมาณปรอทในหอยนางรมจากอ่างศิลา แหลมแท่น และศรีราชา เท่ากับ 0.189 -1.784 ug/kg wet wt. และในหอยแมลงภู่ .365 -.791 ug/kg wet wt. แนวโน้มลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ๆ
2536-01-01T00:00:00Z
ผลจากการขนถ่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังต่อคุณภาพน้ำและดินตะกอนบริเวณอ่าวศรีราชา จังหวัดชลบุรี
ประสาร อินทเจริญ
อนุกูล บูรณประทีปรัตน์
ศรัณยา รักเสรี
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/10290
2024-01-09T07:44:05Z
2564-01-01T00:00:00Z
ผลจากการขนถ่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังต่อคุณภาพน้ำและดินตะกอนบริเวณอ่าวศรีราชา จังหวัดชลบุรี
ประสาร อินทเจริญ; อนุกูล บูรณประทีปรัตน์; ศรัณยา รักเสรี
คณะผู้วิจัยทำการศึกษาผลจากการขนถ่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังต่อคุณภาพน้ำและดินตะกอน
บริเวณอ่าวศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยทำการสำรวจ และเก็บตัวอย่างในพื้นที่ทั้งหมด 1 ครั้ง ในเดือนสิงหาคม 2563 กำหนดจุดเก็บตัวอย่างครอบคลุมพื้นที่ศึกษาจำนวนรวมทั้งสิ้น 16 สถานี ค่าเฉลี่ยของปริมาณออกซิเจนละลายน้ำในแต่ละบริเวณที่เก็บตัวอย่าง ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ในขณะที่แอมโมเนีย ไนไตรท์ ไนเตรท ปริมาณสารแขวนลอย และคลอโรฟิลล์ เอ ในน้ำในแต่ละบริเวณที่เก็บตัวอย่าง มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณสารอินทรีย์ในดินตะกอนกับคุณภาพน้ำ และคุณภาพดินบางประการ (Pearson’s Correlation Coefficient(r); p<0.05) พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณสารอินทรีย์ในดินตะกอนกับปริมาณสารอินทรีย์ในน้ำ เป็นความสัมพันธ์ในเชิงบวกในทุกระดับความลึก สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณสารอินทรีย์ในดินตะกอนกับคุณภาพน้ำที่สำคัญ ได้แก่ ปริมาณออกซิเจนละลายที่ระดับผิวน้ำเป็นความสัมพันธ์กันในเชิงบวก ที่ระดับกลางน้ำและระดับเหนือพื้นดินมีความสัมพันธ์กันในเชิงลบ ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณสารอินทรีย์ในดินตะกอนกับแอมโมเนียไนไตรท์ ไนเตรท แอมโมเนีย เป็นความสัมพันธ์ในเชิงบวก และ ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณสารอินทรีย์ในดินตะกอนกับคลอโรฟิลล์ เอ เป็นความสัมพันธ์ในเชิงบวก สำหรับความสัมพันธ์ของปริมาณสารอินทรีย์ในดินตะกอนกับไฮโดรเจนซัลไฟด์ในดินตะกอน เป็นความสัมพันธ์ในเชิงบวก และความสัมพันธ์ของปริมาณสารอินทรีย์ในดินตะกอนกับความเป็นกรด-ด่างในดินเป็นความสัมพันธ์ในเชิงลบ
งานวิจัยนี้ ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยประเภทเงินรายได้ส่วนงาน คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ เลขที่สัญญา SCQ๐๘/๒๕๖๓
2564-01-01T00:00:00Z
Best Practice ด้านการวิจัย คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยบูรพา. คณะวิทยาศาสตร์
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/9337
2023-09-08T07:46:57Z
2565-01-01T00:00:00Z
Best Practice ด้านการวิจัย คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยบูรพา. คณะวิทยาศาสตร์
2565-01-01T00:00:00Z
การประเมินคุณสมบัติของสารประกอบพอลิฟีนอลจากใบชาขลู่ในการส่งเสริมปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง
ผาณตา เอี้ยวซิโป
https://buuir.buu.ac.th/xmlui/handle/1234567890/9297
2023-08-17T11:16:08Z
2563-01-01T00:00:00Z
การประเมินคุณสมบัติของสารประกอบพอลิฟีนอลจากใบชาขลู่ในการส่งเสริมปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง
ผาณตา เอี้ยวซิโป
แม้ว่าการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดจะมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเซลล์มะเร็งทั้งชนิดก่อนและมะเร็ง
ในระบบเลือด แต่ผลข้างเคียงที่ได้จากการได้รับจากยาเคมีบำบัดนั้นทำให้เกิดความทุกข์ทรมานกับผู้ป่วยและอาจเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิต การค้นหาสารจากธรรมชาติที่มีการออกฤทธิ์อย่างจำเพาะเจาะจงกับ
เซลล์มะเร็ง น่าจะเป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ปัญหาข้างต้นได้ จากงานวิจัยก่อนหน้าที่ได้แสดงให้เห็นถึงฤทธิ์ในการต้านมะเร็งของสารสกัดเอทานอลและสารสกัดน้ำจากใบชาขลู่ (Pluchea indica (L.) Less. ในการยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งเต้านมและเซลล์มะเร็งปากมดลูก งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาต่อเนื่องถึงชนิดและฤทธิ์ของสารสำคัญที่พบในสารสกัดและเปรียบเทียบกับผลที่เกิดขึ้นในเซลล์ที่ไม่ใช่มะเร็ง ผลจากการทดสอบพบว่า สารสำคัญที่พบในปริมาณมากที่สุดในสารสกัดขลู่ คือ 4,5-di-caffeoylquinic acid (4, 5-diCQA) ซึ่งเมื่อนำสารนี้ไปทดสอบฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งพบว่า สามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งปากมดลูก C-33A และเซลล์มะเร็งเต้านม MDA-MB-231 ได้ดีที่สุด โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 162 ± 6.34 และ 171 ± 5.22 μM ตามลำดับ และมีความเป็นพิษต่อเซลล์ที่ไม่ใช่มะเร็ง Vero ต่ำกว่า (IC50 มากกว่า 200 μM)
นอกจากนี้ ยังได้ทำการตรวจสอบระดับของอนุมูลอิสระ (reactive oxygen species, ROS) ภายใน
เซลล์มะเร็งทั้งสอง พบว่า เซลล์มะเร็งที่ได้รับสารทดสอบจะมีระดับ ROS เพิ่มสูงขึ้น 182.96 ± 15.04% และ 237.24 ± 52.35% ตามลำดับ ในขณะที่เซลล์ Vero จะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ผลจากการทดลองนี้จึงเป็นข้อสรุปในเบื้องต้นว่า สาร 4,5-diCQA นี้ น่าจะสามารถนำไปเป็นสารตั้งต้นในการพัฒนายาต้านมะเร็งเต้านมหรือปากมดลูกที่มีประสิทธิภาพและลดอาการข้างเคียงให้กับผู้ป่วยได้
2563-01-01T00:00:00Z